สงครามดันโลกถึงเวลา Reset ระบบการเงินใหม่

นอกเหนือจากสงครามจริงแล้ว ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังมีการทำสงครามในด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย หนึ่งในนั้นคือสงครามทางการเงิน โดยชาติที่หนุนหลังยูเครนได้ทำการคว่ำบาตรรัสเซียออกจากระบบการเงิน SWIFT ตลอดจนการถอดดัชนีตลาดหุ้นออกจาก MSCI ทำให้ตลาดการเงินของรัสเซียเกิดความปั่นป่วน

แต่รัสเซียได้แก้เกมด้วยการหันไปสร้างความร่วมมือทางการเงินกับทางฝั่งจีนโดยการหันมาเชื่อมโยงระบบการเงินของตัวเองผ่าน UnionPay ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางฝั่งจีน ตลอดจนสร้างความร่วมมือระหว่างธนาคารด้วยกัน

มีความเป็นไปได้สูงว่าโลกการเงินหลังจากความขัดแย้งนี้สิ้นสุดลงอาจจะถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วนั่นคือฝั่งตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ และฝั่งตะวันออกที่มีทั้งรัสเซียและจีนร่วมมือกันซึ่งจำนวนผู้ใช้งานเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกัน ถือเป็นการ Reset ระบบการเงินของโลกใหม่ที่น่าสนใจ

แต่ประเด็นที่ต้องจับตาคือการที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นคำสั่งอนุมัติให้ทำการศึกษาการจัดตั้งสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติจากเดิมที่สหรัฐฯ แทบจะไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี CBDC เสียเท่าไร และยังรวมถึงการศึกษาวิธีการกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency

ที่มาของการเร่งศึกษาประเด็นดังกล่าวมาจากการที่เริ่มเห็นสัญญาณว่ารัสเซียอาจจะไปหวังพึ่ง Cryptocurrency ในภาวะที่ระบบการเงินดั้งเดิมกำลังประสบปัญหา มุมมองส่วนตัวคิดว่าการที่สหรัฐฯ จะออกกฎหมายกำกับดูแลเพื่อที่จะสามารถยังคงสถานะการเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกของการเงินได้อยู่ ถ้าหากปล่อยให้ Cryptocurrency เติบโตขึ้นมากกว่านี้ มีผู้ใช้งานที่กว้างกว่านี้ ตนเองอาจจะหมดโอกาสในการที่จะเข้าไปควบคุมเหมือนกับที่ทำกับสกุลเงินดอลลาร์

หากย้อนไปในอดีตจะรู้ว่าการที่เงินดอลลาร์สหรัฐเติบโตขึ้นจนกลายเป็นสกุลเงินที่มีคนใช้ทั่วโลกเพราะมาจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจจากการทำสงคราม สหรัฐฯ ในฐานะผู้ชนะและเสียหายจากสงครามน้อยที่สุดจึงกลายมาเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ของโลกโดยเฉพาะยุโรปในสนธิสัญญามาร์แชล ทำให้เงินดอลลาร์มีความสำคัญแซงหน้าเงินปอนด์ของอังกฤษที่แม้จะชนะสงครามแต่เศรษฐกิจก็เสียหายไปอย่างมาก

มาถึงยุคปัจจุบัน แม้สกุลเงินดิจิทัลจะเป็นระบบที่ไร้ศูนย์กลาง ไม่จำเป็นต้องมีธนาคารกลางหรือสถาบันการเงินกำกับดูแลทำให้กลายเป็นทางเลือกของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะสงครามไม่ว่าจะฝั่งรัสเซียหรือยูเครน แต่ถ้าสามารถเข้ามาควบคุมดูแลวิธีการนำระบบการเงินดั้งเดิมหรือ Fiat Currency ก่อนจะเข้าสู่ Cryptocurrency ได้ ก็พอจะมีโอกาสควบคุมตลาดนี้ได้เช่นกัน

ถ้าหากสหรัฐฯ เข้ามากำกับดูแลขั้นตอนก่อนที่จะเข้าสู่โลกของ Cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลผู้ให้บริการซื้อขายหรือตรวจสอบเส้นทางการเงินหรือ KYC ก็อาจจะที่จะทำให้โลกของ Cryptocurrency ไม่ได้อิสรเสรี หรือไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ทั้งหมดก็เป็นได้

ต้องจับตากันต่อไปว่าการที่ยักษ์ใหญ่ของโลกต้อการจะเข้ามาควบคุมดูแล Cryptocurrency โลกการเงินไร้ตัวกลางจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่อย่างน้อยแสดงให้เห็นแล้วว่า ในภาวะวิกฤต Cryptocurrency สามารถเป็นระบบการเงินทางเลือกได้ จนทำให้ยักษ์ใหญ่ของโลกต้องหันมาสนใจอย่างจริงจัง

บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

admin